อาการชามือจากเส้นประสาทข้อมืออักเสบ
อาการชามือจากเส้นประสาทข้อมืออักเสบ
September 10 / 2021

 

 

อาการชามือ จากเส้นประสาทข้อมืออักเสบ

Carpal Tunnel Syndrome

(Median Nerve Entrapment)

 

 

 

 

 

อาการชามือเกิดจากสาเหตุใดและจะทราบได้อย่างไรว่า อาการชามือเกิดจากเส้นประสาทอักเสบ ?

 

 

ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า คำว่า ชาคือ หนาๆ ไม่ค่อยรู้สึก รู้สึกเหมือนเป็นเหน็บ ไม่ใช่อาการอ่อนแรง ภาษาอังกฤษเรียก numbness เพราะบางคนรู้สึกว่า ชาคืออ่อนแรง มือไม่มีแรง

 

 

สาเหตุของอาการชาอาจแบ่งง่ายๆ ที่พบบ่อยๆ เช่น สมองมีเส้นเลือดสมองตีบแตก ไขสันหลังมีกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง มีแผงเส้นประสาทที่คออักเสบ หรือ เส้นประสาทส่วนปลายอักเสบที่ข้อศอกหรือ ข้อมือ ซึ่งสามารถแยกได้ด้วยการซักประวัติตรวจร่างกาย

 

 

 

เส้นประสาทข้อมืออักเสบมีอันตรายหรือไม่ ?

 

 

  • ปวดชาเส้นประสาท ทรมาน จนไม่สามารถ นอน ทำงานได้ตามปกติ
  • หยิบของไม่ถนัด เนื่องจากชา ทำให้จับของเล็กไม่ถนัดเขียนหนังสือไม่ได้
  • กล้ามเนื้อในมืออ่อนแรง ลีบ

 

 

 

เส้นประสาทข้อมืออักเสบ เป็นสัญญาณเตือนว่าจะเป็นโรคใดได้หรือไม่ ?

 

 

  • ส่วนใหญ่มักเป็นจากการใช้งานมือข้อมือเยอะๆ ซ้ำๆ เช่น อาชีพที่ต้องทำงานใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ใช้สมาร์ทโฟน ถือของ เล่นดนตรี ขับมอเตอร์ไซค์ ขี่จักรยาน ซึ่งใช้ข้อมือเยอะ หรือ ตำแหน่งกดทับที่ข้อศอก เช่น ชอบนั่งเท้าคาง นอนตะแคงทับแขนตัวเอง

 

  • ที่พบรองลงไปคือ เกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ ที่เลี้ยงเส้นประสาทอักเสบ หรือ มีอาการบวม เช่น คนที่เป็นเบาหวาน คนท้อง โรคเอสเอลอี

 

 

 

เส้นประสาทข้อมืออักเสบมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง ?

 

1. รักษาด้วยยา กายภาพบำบัด พักมือ ประคบอุ่นหรือแช่น้ำร้อน ใส่ splint

2. รักษาด้วยการฉีดยาลดบวมที่ข้อมือ

3. รักษาด้วยการผ่าตัด

 

 

 

ผู้ป่วยต้องดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อป้องกันให้ห่างจากเส้นประสาทข้อมืออักเสบ ?

 

 

  • สังเกตอาการถ้าเป็นระยะต้น เช่น ชาเป็นๆ หายๆ อันนี้รีบรักษามักหายดี บางรายหายสนิทได้ ให้หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการมือชา เช่น ท่าการใช้คอมพิวเตอร์ หิ้วกระเป๋าถือหนักๆ เป็นเวลานาน ถือของย้ายของที่หนักเกินข้อมือจะรับได้

 

  • แต่ถ้ามีอาการชาถาวรตลอดเวลา มีอาการอ่อนแรง กล้ามเนื้อมือฝ่อลีบ การรักษาด้วยยาอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

 

 

หากมีการปวดมากหรือชาไม่หาย ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และทำการรักษา วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์